วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

10 การย้ายทีมระหว่างสโมสรพรีเมียร์ลีกที่มีค่าตัวแพงที่สุด

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เพิ่งจะปิดดีลวิลเฟรด โบนี กองหน้าร่างยักษ์มาจากสวอนซี ซิตี้ เมื่อเดือนก่อนด้วยค่าตัวราว 28 ล้านปอนด์ และทำให้เขาเป็นหนึ่่งในผู้เล่นที่ย้ายไปร่วมทีมระหว่างสโมสรในพรีเมียร์ลีกที่มีค่าตัวแพงที่สุด

ทว่า โบนี่ ไม่ใช่ผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุด แล้วใครกันบ้างที่ติดท็อปเท็นนักเตะที่มีค่าตัวแพงที่สุดในการย้ายทีมระหว่างสโมสร ลองมารับชมกัน

1. เฟร์นานโด ตอร์เรส ( ลิเวอร์พูล ไป เชลซี ค่าตัว 50 ล้านปอนด์ )


กองหน้าชาวสแปนิชเป็นผู้เล่นที่ซัลโวได้ 50 ประตูเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรลิเวอร์พลู ตอร์เรส จัดไป 81 ตุงจาก 142 เกม ในสีเสื้อของ " หงส์แดง " 

แต่เขาไม่เคยเรียกฟอร์มที่ยอดเยี่ยมหลังจากถูกโรมัน อบราโมวิช กระชากตัวมาอยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ด้วยค่าตัวที่แพงที่สุดเมื่อปี 2011 ทว่าเขากลับทำประตูได้น้อยลงอย่างน่าใจหายหลังทำได้เพียง 20 ประตูจาก 110 ในลีก

ก่อนที่จะโดนปล่อยให้เอซี มิลาน ยืมใช้งานเมื่อเดือนสิงหาคม 2014 และเซ็นสัญญาถาวรในเดือนถัดไป ก่อนจะย้ายกลับไปอยู่กับต้นสังกัดแรกอย่างแอตเลติโก้ มาดริด ด้วยสัญญายืมตัว

2. ฆวน มาต้า ( เชลซี ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 37.1 ล้านปอนด์ )


ตามรายงานบางส่วนเปิดเผยว่าคาร์ลอส เตเบซ ย้ายจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยค่าตัว 47 ล้านปอนด์ ( แต่ซิตี้ ยืนยันว่าพวกเขาจ่ายเงินเพียงแค่ 25 ล้านปอนด์ ) และทำให้ มาต้า กลายเป็นผู้เล่นอันดับที่สองในการย้ายทีม

กองกลางวัย 26 ปีพิสูจน์ให้เห็นถึงฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมหลังจากย้ายมาอยู่กับ " สิงห์บลู " ด้วยค่าตัว 23.5 ล้านปอนด์เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2011 พร้อมกับเป็นกำลงสำคัญให้ทีมคว้าถ้วยยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกสมัยแรกของสโมสร และถูกเสนอชื่อให้คว้ารางวัลผู้เล่นแห่งปีของเชลซี 2 ครั้ง

ทว่าการมาของโชเซ่ มูรินโญ่ทำให้ชีวิตของเขาต้องพลิกผันจากตัวหลักก็กลายเป็นตัวสำรอง จนทำให้ มาต้า ตัดสินใจอำลาทีมโยกไปหาความท้าทายใหม่ในถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด

3. แอนดี้ แคร์โรลล์ ( นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ไป ลิเวอร์พูล ค่าตัว 35 ล้านปอนด์ )


แคร์โรลล์ ถูกลิเวอร์พูลดึงตัวมาเพื่อเป็นตัวแทนของ ตอร์เรส และการย้ายทีมครั้งนี้ทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุด แต่โอกาสลงสนามของเขากลับถูกจำกัดลง และยิงไปแค่ 11 ลูกจาก 58 เกม

หลังจากการอำลาทีมของเคนนี่ ดัลกลิช และเป็นสิ่งที่ชัดเจนว่าเขาไม่ดีพอในแผนการทำทีมของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก่อนที่จะตัดสินใจเซ็นสัญญากับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด แบบยืมตัวเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2012 

และในซัมเมอร์ถัดมาดาวยิงวัย 26 ปีก็เลือกเซ็นสัญญาค้าแข้งในถิ่นอัพตันพาร์ค ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ และในฤดูกาลนี้เพิ่งจะยิงให้ทีมไป 5 ประตูจาก 13 เกมในลีก

4. ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ ( ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 30.75 ล้านปอนด์ )


เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เป็นคนจัดการกองหน้าอารมณศิลปินมาวาดลวดลายในโรงละคร เมื่อปี 2008 เบอร์บาตอฟ ทำผลงานได้โดดเด่นสมัยอยู่กับท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์

เบอร์บาตอฟ ผงาดคว้ารางวัลรองเท้าทองคำหรือดาวซัลโวสูงสุดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2010-2011 หลังยิงไป 21 ประตู แต่เขาก็ถูกปล่อยตัวให้กับฟูแล่มในราคา 5 ล้านปอนด์

5. ริโอ เฟอร์ดินานด์ ( ลีดส์ ยูไนเต็ด ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 30 ล้านปอนด์ )


ในเวลานั้นปราการหลังชาวอังกฤษกลายเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดหลังจากย้ายมาอยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 30 ล้านปอนด์หลังจากโชว์ฟอร์มแจ๋มในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002

การย้ายมาอยู่กับยูไนเต็ดทำให้ เฟอร์ดินานด์ ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามด้วยการกวาดแชมป์พรีเมียร์ไป 6 สมัย รวมถึงถ้วยลีกคัพ และยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกอีกสมัย พร้อมกับกับทำสถิติลงเล่นไปทั้งสิ้น 453 เกม ก่อนเลือกย้ายไปอยู่กับคิวพีอาร์ แบบไร้ค่าตัวเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา

5.ลุค ชอว์ ( เซาแธมป์ตัน ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ค่าตัว 30 ล้านปอนด์ )


หลังจากโชว์ฟอร์มได้โดดเด่นในถิ่นเซนต์เมรี่ ชอว์ ก็กลายเป็นดาวรุ่งที่มีค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์นักเตะอังกกฤษ เมื่อเขาตัดสินใจเซ็นสัญญากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อปี 2014 

แบ็คซ้ายวัย 19 ขวบมีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมกับเซาแธมป์ตันเมื่อปีก่อน พร้อมกับถูกรอยรอย ฮอดจ์สัน เรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษ ลงเล่นในฟุตบอลโลกที่ประเทศบราซิล

ทว่าปัญหาอาการบาดเจ็บทำให้ช่วงออกสตาร์ทซีซั่น 2014-15 ของเขามีปัญหาเล็กน้อย หลังไม่ค่อยได้ลงสนาม แต่ในตอนนี้เขาได้ขยับขึ้นมาเป็นกำลังหลักมากขึ้นเรื่อยๆ

7. โรเมลู ลูกากู ( เชลซี ไป เอฟเวอร์ตัน ค่าตัว 28 ล้านปอนด์ )


กองหน้าทีมชาติเบลเยียมได้ออกสตาร์ทเพียงแค่ครั้งเดียวกับเชลซี หลังย้ายมาจากอันเดอร์เลชท์ เมื่อปี 2011 ด้วยค่าตัว 18 ล้านปอนด์ แต่เขามีฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในการย้ายทีมแบบยืมตัวกับเวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ( 2012-13 ) และเอฟเวอร์ตัน ( 2013-14 ) ซึ่งเขายิงรวมกันได้ถึง 33 ประตูจาก 71 เกม แต่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีมของโชเซ่ มูรินโญ่

และเอฟเวอร์ตัน ก็จัดการดึงตัวเขามาอยู่ในถิ่นกูดิสัน พาร์ค แบบถาวรเมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ ลูกากู กลับไม่สามารถแสดงฝีเท้าเหมือนที่เคยเล่นแบบยืมตัวได้หลังจากเขาเพิ่งทำไป 8 ประตูพรีเมียร์ลีก

7. วิลเฟรด โบนี่ ( สวอนซี ซิตี้ ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 28 ล้านปอนด์ มกราคม 2015 )


ร่ายเพลงแข้งกับสปาร์ตา ปราก และวิเทสส์ อาร์เนม แต่สวอนซี เชื่อมั่นในฝีเท้ายอมควักเงิน 12 ล้านปอนด์ดึงตัวมาล่าตาข่ายในถิ่นลิเบอร์ตีสเตเดียม เมื่อซัมเมอร์ปี 2013 แถมยังปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่นในพรีเมียร์ลีกได้อย่างรวดเร็ว

โบนี่ ซัด 34 ประตูจากการลงสนาม 70 นัดในการลงเล่นให้กับ " หงส์ขาว " เล่นเป็นผู้เล่นที่ทำประตูสูงสุดของพรีเมียร์ลีกหากนับเฉพาะปี 2014 ก่อนจะย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี้

9. มารูยาน เฟลไลนี่ ( เอฟเวอร์ตัน ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 27.5 ล้านปอนด์ กันยายน 2013 )


ย้ายมาจากลีกบ้านเกิดมาอยู่ในถิ่นกูดิสันพาร์ก พร้อมกับมี 6 ฤดูกาลที่น่าประทับใจกับเอฟเวอร์ตัน ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายตามลูกพี่อย่างเดวิด มอยส์ มาเล่นให้กับยูไนเต็ด

เฟลไลนี่ ทำไป 11 ประตูในตำแหน่งกองกลางตอนเล่นให้กับยักษ์ใหญ่จากลุ้นน้ำเมอร์ซี่ย์ในฤดูกาลสุดท้าย แต่ทว่ากับยูไนเต็ด เขาแทบจะมองไม่เห็นฟอร์มเก่าของตัว และส่วนใหญ่ต้องรักษาอาการบาดเจ็บนานกว่าลงสนามสะอีก

การมาของหลุยส์ ฟาน กัล ก็ไม่สามารถทำให้ผลงานของเขาดีขึ้น แม้ว่าโอกาสลงสนามจะเพิ่มขึ้นก็ตาม

10. เจมส์ มิลเนอร์ ( แอสตัน วิลล่า ไป แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 26 ล้านปอนด์ สิงหาคม 2010 )


กองกลางทีมชาติอังกฤษย้ายมาร่วมทัพแมนเชสเตอร์ ซิตี้เมื่อปี 2010 หลังการเข้าเทคเทคโอเวอร์จากกลุ่มทุนอาหรับ และกลายเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวแพงที่สุดของสโมสรเมื่อสองปีที่แล้ว

มิลเนอร์ แสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่ากับการลงทุนดึงตัวเขามาด้วยการเป็นกำลังหลักของทีม พร้อมกับช่วย " เรือใบ " คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และเอฟเอ คัพอย่างละ 2 สมัย

Read More

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

อาซาร์ ครอง 6 สถิติ พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2014-15


          เชลซี ยักษ์ใหญ่จากกรุงลอนดอนเพิ่งเซ็นสัญญาฉบับใหม่ 5 ปีให้กับเอเด็น อาซาร์ ปีกตัวเก่งชาวเบลเจี้ยน และเป็นการพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นการจัดการที่ดีที่สุดของทีมในฤดูกาลนี้

ในขณะที่โชเซ่ มูรินโญ่ ทุ่งเงินไม่น้อยในการคว้าดีเอโก้ คอสต้า และเชสก์ ฟาเบรกาส มายังถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา และส่งผลดีกับทีมเป็นอย่างมาก

คอสต้า ย้ายมาและสามารถทำผลงานได้ยอดเยี่ยมทันทีด้วยการยิงไป 17 ประตูจาก 19 เกมในพรีเมียร์ลีก ลอยลำเป็นดาวซัลโวอยู่ตอนนี้

เช่นเดียวกับ ฟาเบรกาส ที่เคยมีประสบการณ์กับอาร์เซน่อล มาแล้วทำให้ไม่ต้องปรับตัวอะไรมากมาย และยังครองความเป็นเจ้าพ่อแอสซิสต์หลังทำไป 15 ครั้งในลีก

แต่การรักษา อาซาร์ ไว้กับทีมนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ เพราะ 13 ประตูกับ 7 แอสซิสต์ อาจจะดูไม่หวือหวา แต่สถิติหลายอย่างบ่งบอกว่าเขามีความยอดเยี่ยมแค่ไหน ลองมาดูกัน 

1. สร้างสรรค์โอกาสทำประตูมากที่สุด 67 ครั้ง

2. เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่งมากที่สุด 112 ครั้ง

3. ถูกทำฟาล์วมากที่สุด 74 ครั้ง

4. จ่ายบอลสำคัญ ระหว่างเกมโอเพนเพลย์มากที่สุด 61 ครั้ง

5. จ่ายบอลบริเวณพื้นที่สุดท้ายในแดนคู่แข่งมากที่สุด 714 ครั้ง

6. แย่งบอลบริเวณพื้นที่สุดท้ายในแดนคู่แข่งมากที่สุด 26 ครั้ง

จากสถิติที่ปีกวัย 24 ปี ได้แสดงให้เห็นนั้น เรียกได้ว่าอาจจะเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของเชลซีในฤดูกาล 2014-15 เลยก็ว่าได้
Read More

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2558

เช็คเป้าหมายของท็อป 6 พรีเมียร์ลีกเป็นใครกันบ้างมาดู


          เมื่อปฏิทินผ่านมาถึงเดือนมกราคมจะถึงเวลาที่ตลาดซื้อขายนักเตะรอบที่สองเป็นตัวขึ้นโดยเหล่าบอร์ดบริหารของแต่ละสโมสรจะพิจารณาในการคว้าผู้เล่นมาเสริมความแข็งแกร่งในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล

มันจะมาซึ่งโอกาสในการแก้ปัญหาเกมรับสุดกากของอาร์เซน่อล และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ส่วนสำหรับท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก็หาดาวยิงคนใหม่เพื่อมาแบ่งเบาภาระของแฮร์รี่ เคน ส่วนแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับเชลซี ก็หาผู้เล่นที่ช่วยในการไขว้คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก

วันนี้มาดูกันว่าสโมสรไหน ให้ความสนใจผู้เล่นคนใด และมีโอกาสจะเสียผู้เล่นภายในทีมกันบ้างไหม มารับชมกัน

1. เชลซี


          ความเด็ดขาดในการเสริมทีมช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาของโชเซ่ มูรินโญ่ ทำให้เขาแทบจะไม่มีความคิดที่จะคว้าผู้เล่นใหม่ตอนเดือนมกราคมนี้เลย และหากพิจาณาทีม  " สิงห์บลู " ตั้งแต่ออกสตาร์ทฤดูกาลพวกเขาแทบจะไม่มีที่ตำหนิเลย และสามารถครองจ่าฝูงได้อย่างเหนียวแน่อน

เป้าหมาย : เมาโร อิคาร์ดี้ ( อินเตอร์ มิลาน )

มีโอกาสย้าย : โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ( เอเอส โรม่า, ลิเวอร์พูล และอินเตอร์ มิลาน ) , อันเดร เชือร์เล่ ( ชาลเก้ 04 และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ )

2. แมนเชสเตอร์ ซิตี้


          หลังจากออกสตาร์ทฤดูกาลไม่ค่อยดีนัก ทีมของมานูเอล เปเยกรินี่ ก็เริ่มกลับมาทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ และสามารถพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาสามารถรับมือกับคู่แข้งได้โดยไม่ได้พึ่งแค่สตาร์ประจำทีมอย่างเซร์คิโอ อเกวโร่

ดังนั้นแม้การคว้าตัววิลเฟรด โบนี่ มาเสริมทีม ก็แสดงว่า " เรือใบ " ไม่หยุดที่จะยกระดับทีมต่อไป

เป้าหมาย : เควิน เดอ บรุนย์ ( โวล์ฟสบวร์ก ), อเล็กซานเดอร์ ลาคาเซ็ตเต้ ( โอลิมปิก ลียง )

เสร็จสิ้น : วิลเฟรด โบนี่ ( จากสวอนซี ซิตี้ ค่าตัว 28 ล้านปอนด์ )

มีโอกาสย้าย : สก็อตต์ ซินแคลร์ ( แอสตัน วิลล่า ), จอห์น กุยเด็ตติ ( เซลติก ), มาติยา นาสตาซิช ( ย้ายไปร่วมทีมชาลเก้ 04 แบบยืมตัว )

3. เซาแธมป์ตัน


          ไม่มีใครจะคาดคิดว่าทีม " นักบุญ " จะยังคงรักษาระดับการเล่นของพวกเขาเหมือนกับฤดูกาลก่อนได้ เนื่องจากเสียขุมกำลังหลักหลายคน แต่การมาของโรนัลด์ คูมัน กลับทำให้เซาแธมป์ตันทำผลงานได้ยอดเยี่ยมกว่าเดิม

ในตอนนี้ยอดทีมจากเซนต์เมรี่ อยู่อันดับที่ 3 ของลีก และเตรียมจะเสริมทีมเพื่อโอกาสลุ้นพื้นที่ไปเตะฟุตบอลยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกในฤดูกาลหน้า

เป้าหมาย : ราฟาเอล ซิลวา ( บราก้า ), โทนี่ วิลเฮน่า ( เฟเยนูร์ด )

เสร็จสิ้น :  เอลเยโร่ เอเลีย ( จากแวร์เดอร์ เบรเมน ยืมตัวจนจบฤดูกาล )

มีโอกาสย้าย : มอร์แกน ชไนแดร์แล็ง ( อาร์เซน่อล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ )

4. แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด


          หลุยส์ ฟาน กัล ทุ่มเงินไปมหาศาลในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมากับการปรับเปลี่ยนทีมใหม่ แต่กลับต้องเจอกับปัญหามากมาย ยูไนเต็ดพยายามที่จะทำคะแนนเพื่อการันตีจบท็อปโฟว์ในฤดูกาลนี้ แต่มีคู่แข่งที่พร้อมจะย้ายตำแหน่งมากมาย และอาจจะมีการเสริมทัพอีกหลายรายในเดือนนี้

เป้าหมาย : แมตส์ ฮุมเมลส์ ( โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ), เปาโล ไดบาลา ( ปาแลร์โม่ ), นาธาเนียล ไคลน์ ( เซาแธมป์ตัน ), เควิน สตรูทมัน ( เอเอส โรม่า ), มอร์แกน ชไนแดร์แล็ง ( เซาแธมป์ตัน ), เอดินสัน คาวานี่ ( ปารีส แซงต์ แชร์กแมง )

เสร็จสิ้น : บิคตอร์ บัลเดส

มีโอกาสย้าย : ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ ( เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ), อันเดรส ลินเดการ์ด ( โมลเดอร์ ), รีช เจมส์

5. อาร์เซน่อล


          " กูนเนอร์ส " กำลังประสบกับอารมณ์ที่คุ้นเคยอีกครั้งในฤดูกาลนี้ ผลงานที่ทำได้น่าประทับใจสลับกับเกมรับอันห่วยแตก รวมถึงวิกฤตนักเตะได้รับบาดเจ็บจนทำให้หมดโอกาสลุ้นแชมป์ตั้งแต่ไก่โห่อีกครั้ง และทางบอร์ดของอาร์เซน่อล เตรียมจะอนุมัติเงินเพื่อให้อาร์แซน เวนเกอร์ หาผู้เล่นใหม่เพื่อมาแก้ปัญหาในจุดนี้

เป้าหมาย : วินสตัน รีด ( เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ), เฮคเตอร์ โมเรโน่ ( เอสปันญ่อล ), วิลเลี่ยม คาร์วัญโญ่ ( สปอร์ติ้ง ลิสบอน ), มอร์แกน ชไนแดร์แล็ง ( เซาแธมป์ตัน )

เสร็จสิ้น : คริสเตียน บีลิค ( จากลีเกีย วอร์ซอว์ ค่าตัว 2.5 ล้านปอนด์ )

มีโอกาสย้าย : โจเอล แคมป์เบลล์ ( เรอัล โซเซียดาด ), ลูคัส โพลดอสกี้ ( ย้ายไปร่วมทีมอินเตอร์ มิลาน แบบยืมตัว )

6. ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์


               ทีมที่กำลังค่อยๆถูกสร้างด้วยฝีมือของเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กำลังทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัญหาอยู่ที่ความสม่ำเสมอภายในทีมที่ดูจะไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ ซึ่งเป้าหมายหลังของพวกเขาก็คือท็อปโฟว์ และการเสริมทีมอาจจะทำให้เป้าหมายที่วางไว้เป็นจริงก็ได้

เป้าหมาย : เจมส์ แม็คคาร์ธีย์ ( เอฟเวอร์ตัน ), แดนนี่ อิงส์ ( เบิร์นลี่ย์ ), คาร์ลอส บัคก้า ( เซบีย่า ), มอร์แกน ชไนแดร์แล็ง ( เซาแธมป์ตัน ), ซิโมเน่ ซาซ่า ( ซาสซูโอโล่ )

มีโอกาสย้าย : เปาลินโญ่ ( ยูเวนตุส ), ยูเนส กาบูล ( เบซิคตัส ), อารอน เลนนอน ( สโต๊ค ซิตี้ ), ไคลน์ นอร์ตัน ( สวอนซี ซิตี้ ), เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ( เอเอส โรม่า )

Read More

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2558

ใครเร็วสุด และใครวิ่งเยอะสุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ??


          คุณคิดว่าผู้เล่นคนได้มีความเร็วที่สุดในพรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้ อเล็กซิส ซานเชซ ? หรือ  ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ? หรือ กาเบรียล อั๊กบอนลาฮอร์ ก็ยังไม่ใช่แต่ใกล้เคียงแล้ว

พวกเขาทั้ง 3 คนมีความเร็วในการเล่นงานแนวรับคู่แข่งเร็วอย่างฟ้าผ่าเลยทีเดียว และพวกเขาก็โจมตีแบบไม่ให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวได้เลย

ซึ่งพวกเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีความเร็วมากที่สุด แต่ยังไม่สามารถเร็วพอที่จะสู้กับชายที่ชื่อ " มุสซ่า ซิสโซโก้ " จอมทัพตัวเก่งของนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด


ซิสโซโก้ สามารถใช้ความเร็วถึง 35.3 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเกมที่ช่วยให้ " สาลิกาดง " เอาชนะเลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และเป็นการใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดของฤดูกาลนี้เลยทีเดียว

ดาวเตะวัย 25 ปีโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมจนถูกยักษ์ใหญ่จากลีกเอิงอย่างปารีส แซงต์ แชร์กแมง ต้องการดึงตัวไปเสริมทีมในช่วงตลาดซื้อขายนักเตะรอบที่ 2 ซึ่งรายงานล่าสุดเปิดเผยว่าทั้งสองสโมสรอาจจะกำลังเจรจากันอยู่

ส่วนทางด้านอันดับที่ 2 มีความเร็วเป็นรอง ซิสโซโก้ เพียงแค่ 0.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น เขาคนนั้นก็คือวิลฟรีด ซาฮา ผู้ชายที่เคยได้ลิ้มรสความหอมของลูกสาวเดวิด มอยส์ 

ปีกวัย 22 ปีใช้ความเร็ว 35.2 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเกมที่คริสตัล พาเลซ เสมอกับสโต๊ะ ซิตี้ 1-1 เมื่อเดือนธันวาคม โดยซาฮา เป็นนักเตะที่มากด้วยความเร็วอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะติดโผในครั้งนี้

อันดับที่ 3 ตกเป็นของมาร์ซิน วาซิเลฟสกี้ ปราการหลังจากเลสเตอร์ ซิตี้ ที่เป็นเรื่องเซอร์ไพร์ไม่น้อยเพราะตำแหน่งที่เขาเล่นไม่น่าจะมีความเร็วมากขนาดนี้ 

โดยความเร็วที่วาซิเลฟสกี้ ทำได้นั้นอยู่ที่ 35.1 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเท่ากับสจ๊วร์ต ดาวนิ่ง ปีกจอมเปิดบอลจากเวสต์แฮม ยูไนเต็ด

สำหรับผู้เล่นที่คาดว่าน่าจะเร็วที่สุดอย่างสเตอร์ลิ่ง ก็อยู่เพียงแค่อันดับที่ 4 หลังใช้ความเร็วอยู่ที่ 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนทางด้านของอเล็กซิส ปีกตัวจี๊ดของอาร์เซน่อลอยู่อันดับที่ 13 เลยทีเดียว โดยมีความเร็วอยู่ที่ 34.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


แต่ไม่ใช่ความเร็วเท่านั้นที่เป็นสิ่งสำคัญกับการแข่งขันฟุตบอล แต่การคุมพื้นที่ก็เป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะแต่ละทีมมักจะมีนักเตะที่วิ่งแบบไม่รู้จักเหนื่อยอยู่ในทีมเพื่อช่วยให้การเล่นเกมรุกของคู่แข่งลำบากขึ้น

อย่างเช่นที่มาร์ค ฮิวจ์ส ผู้จัดการทีมของสโต๊ค ซิตี้ มีสตีเวน เอ็นซองซี่ ที่เขาสามารถวิ่งได้ถึง 227 กิโลเมตรในการแข่งขันทั้ง 20 เกมที่ผ่านมา และมันส่งผลให้พวกเขาสามารถปราบยังใหญ่อย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และอาร์เซน่อล ได้อยู่มัดทีเดียว


กองกลางชาวฝรั่งเศส จะวิ่งไล่ประกบคู่แข่งตั้งแต่แดนของพวกเขา และเขาจะทำอยู่เช่นนี้จนกว่าจะได้ยินเสียงนกหวีดของผู้ตัดสินเปาจบเกม

ในอันดับที่ 2 ยอดนักขยันก็คือเชสก์ ฟาเบรกาส มิดฟิลด์จอมจ่ายบอลจากค่ายเชลซี ฤดูกาลนี้เขาคือตัวแปรคนสำคัญของทีมหลังจากแอสซิสต์ไปแล้วถึง 14 ครั้ง แต่เขายังมีดีที่วิ่งช่วยเพื่อนร่วมทีมอยู่ตลอดเวลาทั้งคอยรับบอลเพื่อจ่ายต่อ หรือการลงมาช่วยเกมรับ และเขาก็วิ่งไปแล้ว 225.3 กิโลเมตร จึงไม่แปลกใจที่ " สิงห์บลู " จะลอยติดลมบนครองจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกตั้งแต่นัดแรก

และบางทีอาจจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ กองหน้าชาวดัตช์กลายเป็นผู้เล่นที่วิ่งไปมากที่สุดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งที่เขาลงเล่นไปเพียงแค่ 13 เกมเท่านั้น แต่เขาทำสถิติไว้ที่ 187.1 กิโลเมตรเลยทีเดียว

ซึ่งสถิติของ ฟาน เพอร์ซี่ มากพอที่จะเอาชนะนักเตะอย่างยาย่า ตูเร่ ( 179.1 กิโลเมตร ) และพอล คอนเชสกี้ แบ็คซ้ายของเลสเตอร์ ซิตี้ ( 173.1 กิโลเมตร )

มาติเยอ ฟลามินี่ มิดฟิลด์ฮาร์ทแมนของอาร์เซน่อล กลายเป็นผู้เล่นที่วิ่งมากที่สุดของทีมหลังจากไล่อัดคู่แข่งไป 191 กิโลเมตร จากการลงสนามไปทั้งสิ้น 12 นัดเท่านั้นเอง

ในขณะที่แกเร็ธ แบร์รี่ แม้อายุอานามจะปาเข้าไป 34 กระรัต แล้วก็ตามแต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าอายุไม่ได้เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อยหลังจัดการวิ่งไปทั่วสนามเป็นระยะทาง 198.2 กิโลเมตรเลยทีเดียว และทำให้เขาวิ่งเยอะสุดว่าใครในทีมของโรแบร์โต้ มาร์ติเนซ




Read More

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

20 ปี กับเส้นทางสายลูกหนังของ ' คิงอองรี '


          หลังจากนี้คงไม่มีนักเตะที่ชื่อว่า " เธียร์รี่ อองรี " ลงล่าตาข่ายให้กับสโมสรไหนอีกต่อไปหลังจากที่ เขาได้ตัดสินใจแขวนสตั๊ด ยุติเส้นทางอาชีพลูกหนังในวัย 37 ปี

อองรี ค้าแข้งให้กับนิวยอร์ก เร้ด บูลล์ส ยักษ์ใหญ่ในเมเจอร์ลีก สหรัฐอเมริกา เป็นทีมสุดท้าย ก่อนที่จะตัดสินใจหันหลังให้กับอาชีพนักฟุตบอล

เด็กน้อยชาวเฟรนช์เริ่มถือกำเนิดขึ้นในเลส์ อูลิส เมือเล็กๆที่พ่อแม่ของเขาอพยพมาอยู่อาศัย ก่อนที่จะฝึกปรือศาสตร์ลูกหนังที่นี่ หลังจากนั้นในปี 1983 เขาเข้าไปอยู่ในศูนย์ฝึกเยาชนของสโมสร  เซโอเลส์ อูลิส  ก่อนที่จะย้ายมาอยู่กับยอดทีมจากแดนน้ำหอมอย่างโมนาโก ในอีก 9 ปีต่อมา


กองหน้าเลือดน้ำหอมได้ก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ของโมนาโกในปี 1994 พร้อมกับฝากผลงานไว้ที่ 28 ประตู ก่อนที่จะย้ายไปหาประสบการณ์ในแดนมะกะโรนีกับยูเวนตุส ทว่าชีวิตที่นี้มันสั้นนิดเดียวหลังอยู่ชมบรรยากาศในถิ่นตูรินได้เพียงแค่ 1 ปีก็ถูกอาร์เซน่อล คว้าตัวมาร่วมทีม ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ในปี 1999

และที่นี่ถือเป็นที่แจ้งเกิดให้โลกได้รับรู้ว่ามียอดกองหน้าที่ชื่อ เธียร์รี่ อองรี โดยมีอาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือคนบ้านเดียวกันเป็นคนเจียรนัยฝีเท้าให้กับเขา

ตลอดระยะเวลา 8 ปีกับ " ไอปืนใหญ่ " อองรี แสดงให้เห็นถือพรสวรรค์ด้านฟุตบอลด้วยการยิงประตูเป็นกอบเป็นกรรม เพียงแค่ฤดูกาลแรกในพรีเมียร์ลีกเขาก็ซัดไปแล้ว 26 ประตู จนแทบจะไม่มีใครสงสัยเรื่องฝีเท้าของเขาแม้แต่น้อย

และสามารถคว้าแชมป์ลีกได้ 2 สมัย ซึ่งในฤดูกาล 2003-2004 เขาสามารถพาทีมเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบไม่พ่ายให้กับคู่แข่งแม้แต่เกมเดียวจนได้รับสมญานามว่า " ดิ อินวินซิเบิ้ลส์ "

ด้วยความสามารถในการถล่มประตู และความภัยดีที่มีต่อสโมสรทำให้เขาเป็นที่ชื่นชอบของเหล่า " กูนเนอร์ส " เป็นอย่างมา พร้อมกับเรียกเขาว่า " คิงอองรี "

อองรียิงประตูให้กับยักษ์ใหญ่จากกรุงลอนดอนไปทั้งสิ้น 228 ประตู และก้าวขึ้นเป็นดาวซัลโวสูงสุดของสโมสร



อย่างไรก็ตามถ้วยรางวัลที่เขาต้องการอีกอย่างคือถ้วย แชมป์เปี้ยนลีก ซึ่งไม่สามารถคว้ามันได้กับอาร์เซน่อล ทำให้เขาเลือกที่จะย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลน่า ในปี 2007 ด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร

โดยการย้ายไปอยู่กับ " อาซูลกราน่า " อองรีเป็นหนึ่งในขุมกำลังแดนหน้าร่วมกับลิโอเนล เมสซี่ และซามูเอล เอโต้ ที่ร่วมกับผลิตสกอร์ให้กับทีมมากมาย

และแชมป์ที่เขาปราถนาจะไขว้คว้าก็มาถึงหลังจากในฤดูกาล 2008-2009 เขาสามารถพาทีมปราบแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-0 คว้าถ้วยยูฟ่า แชมป์เปี้ยนลีกได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมกับทำไว้ 49 ตุงในถิ่นคัมป์นู



ด้วยวัย 33 กระรัตในเวลานั้น อองรี ตัดสินใจย้ายมาหาความท้าทายใหม่ๆในแดนลุงแซมกับนิวยอร์ก เร้ด บูลล์ส ซึ่งเป็นช่วงปลายอาชีพของเขา แต่เราฝีเท้าไปต้องพูดถึงแก่แต่เก๋าจริงๆด้วยการจัดไป 52 ประตู กับระยะเวลา 4 ปี นอกจากนี้เขายังย้ายมาอยู่กับอาร์เซน่อล ด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้นๆ อีกด้วย

อองรีเป็นหนึ่งในนักเตะไม่กี่คนที่สามารถคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ได้ทุกรายการในอาชีพนักเตะ เพราะนอกจากกว้าถ้วยรางวัลเป็นว่าเล่นกับระดับสโมสรแล้ว กับระดับทีมชาติเขาก็ไม่ใช่ย้อย

เพราะกับทีมชาติฝรั่งเศส อองรี สามารถพาทัพ " ตราไก่ " คว้าแชมป์ฟุตบอลโลก เมื่อปี 1998 ในแผ่นดินเกิดของตัวเอง และในอีก 2 ปีถัดมาเขาก็พาทีมคว้าแชมป์ยูโร 2000 ที่มีเบลเยียม และเนเธอร์แลนด์ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ


ในวันที่ 16 ธันวาคม 2014 อองรีตัดสินใจยุติเส้นทางสายลูกหนังไว้เพียงแค่นี้ หลังจากที่เขาไม่ได้รับการต่อสัญญาฉบับใหม่กับเร้ด บูลล์ส และเป็นการหยุดเวลา 20 ปีกับการค้าแข้งไว้แค่นี้

" 20 ปีแล้วที่ผมอยู่ในอาชีพนักฟุตบอล และวันนี้ผมก็ตัดสินใจที่จะรีไทร์กับการเล่นอาชีพฟุตบอล เส้นทางในอาชีพลูกหนังของผมมันเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก "

" และผมอยากจะขอขอบคุณแฟนๆทุกๆคน รวมถึงเพื่อนร่วมทีมทั้งหมดของผมทั้งที่โมนาโก ยูเวนตุส อาร์เซน่อล บาร์เซโลน่า และนิวยอร์ก เร้ด บูลล์ส "

" แน่นอน นอกจากนี้กับทีมชาติฝรั่งเศส ผมก็มีช่วงเวลาที่พิเศษอย่างมาก "

" ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่แตกต่างกันออกไปกับที่ผมเคยทำอย่างสิ้นเชิง ผมรู้สึกยินดีที่จะบอกว่าผมจะกลับไปที่กรุงลอนดอน ผมจะเข้าร่วมกับกับสื่ออย่างสกายสปอร์ต "

" ผมหวังว่าจะนำข้อมูล และประสบการณ์ที่เคยได้เรียนรู้มาแบ่งปันให้พวกคุณ "

" ผมมีประสบการณ์ที่น่ามหัศจรรย์ ผมหวังว่าทุกคนจะแฮปปี้กับงานใหม่ของผม แล้วเจอกันนะ " อองรี กล่าวทิ้งท้ายหลังจากประกาศแขวนสตั๊ด

หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลแล้ว อองรี จะรับงานเป็นกูรูด้านลูกหนังให้กับสื่อชื่อดังอย่าง สกายสปอร์ต พร้อมกับรับค่าจ้างสูงถึง 25 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

เกียรติประวัติส่วนตัวของ เธียร์รี่ อองรี

- รางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งลีกเอิงของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพฝรั่งเศส (1): 1996–97
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (2): 2002–03, 2003–04
- ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (6): 2000-01, 2001-02, 2002-03, 2003-04, 2004-05, 2005-06
- นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (3): 2002–03, 2003–04, 2005–06
- รางวัลรองเท้าบูตทองคำพรีเมียร์ลีก (4): 2001–02, 2003–04, 2004–05, 2005–06.
- รางวัลรองเท้าบูตทองคำ แลนด์มาร์ก 10 (1): 2004–05
- รางวัลรองเท้าบูตทองคำ แลนด์มาร์ก 20 (1): 2004–05
- รางวัลผู้เล่นแห่งเดือนของพรีเมียร์ลีก (4): เมษายน 2000, กันยายน 2002, มกราคม 2004, เมษายน 2004
- ประตูแห่งฤดูกาล (1): 2002–03
- ทีมแห่งปีของยูฟ่า (5): 2001, 2002, 2003, 2004, 2006
- ผู้เล่นที่ดีที่สุด 11 คนของเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ (1): 2011
- ผู้เล่นแห่งเดือนของเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ (1): มีนาคม 2012
- อ็องซ์ดอร์ (2): 2003, 2006
- รองเท้าบูตทองคำยุโรป (2): 2003-04, 2004-05
- นักฟุตบอลฝรั่งเศสแห่งปี (5): 2000, 2003, 2004, 2005, 2006
- ผู้เล่นยิงประตูสูงสุดแห่งปีของสหพันธ์ประวัติศาสตร์และสถิติฟุตบอลนานาชาติ (1): 2003
- ฟีฟ่าฟิฟโปรเวิลด์ XI (1): 2006
- รางวัลฟุตบอลโลก ทีมรวมดารา (1): ฟุตบอลโลก 2006
- รางวัลลูกบอลทองคำคอนเฟเดอเรชันส์คัพ (1): คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2003
- รางวัลรองเท้าทองคำคอนเฟเดอเรชันส์คัพ (1): คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2003
- รางวัลทีมยอดเยี่ยมฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (1): 2000
- ฟีฟ่า 100 : 2004
- ไทม์ 100 วีรบุรุษและนักบุกเบิก อันดับ 16 : 2007
- หอเกียรติยศแห่งฟุตบอลอังกฤษ : 2008
- เครื่องอิสริยาภรณ์เลฌียงดอเนอร์ : 1998

เกียรติประวัติระดับสโมสร

โมนาโก
     ลีกเอิง (1): 1996–97
     โตรเฟเดช็องปียง (1): 1997
อาร์เซนอล
     พรีเมียร์ลีก (2): 2001–02, 2003–04
     เอฟเอคัพ (3): 2002, 2003, 2005
     เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ (2): 2002, 2004
บาร์เซโลนา
     ลาลีกา (2): 2008–09, 2009–10
     โกปาเดลเรย์ (1): 2008-09
     ซูเปร์โกปาเดเอสปาญา (1): 2009
     ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (1): 2008-09
     ยูฟ่าซูเปอร์คัพ (1): 2009
     ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก (1): 2009
นิวยอร์ก เรดบูลส์
     เมเจอร์ลีกซอกเกอร์ฝั่งตะวันออก (1): 2010

เกียรติประวัติทีมชาติฝรั่งเศส

ฟุตบอลโลก
     ชนะเลิศ: ฟุตบอลโลก 1998
     รองชนะเลิศ: ฟุตบอลโลก 2006
ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
     ชนะเลิศ: ยูโร 2000
คอนเฟเดอเรชันส์คัพ
     ชนะเลิศ: คอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2003




Read More

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วีรกรรมสุดเกรียนของ ' มาริโอ บาโลเตลลี่ '


          หากจะเอ๋ยถึงชื่อนักเตะที่มากด้วยพรสวรรค์คนหนึ่งของวงการลูกหนักในยุคปัจจุบันแน่นอนชื่อ มาริโอ บาโลเตลลี่ คงเป็นหนึ่งในนั้น เขามีทักษะทางด้านฟุตบอลที่เก่งกาจเป็นอย่างมาก

แต่สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าประทานพรมาให้เขาพร้อมกับฝีเท้าก็คือ " ความเกรียน " ที่จะหานักเตะคนไหนมาเทียบไม่ได้ และอาจจะมากว่าพรสรรค์ที่เขามีสะอีก

และนี่คือหนึ่งในวีรกรรมสุดเกรียนของ บาโลเตลลี่ ที่เขาได้ก่อขึ้นจนเป็นบางครั้งก็กลายเป็นสีสันของวงการฟุตบอล

1. โพสข้อความทำนองเหยียดเชื้อชาติชาวยิว


          เป็นวิรกรรมสดๆร้อนๆของเขาซึ่งเพื่อก่อเรื่องมาไม่นานมานี้ หลังจากที่เขาย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล เมื่อซัมเมอร์ที่ผ่านมา ทั้งๆที่ผลงานการเล่นของเขากำลังจะห่วยอยู่แต่ก็ยังมีเวลาไปสร้างเรื่องหลังจากที่ โพสข้อความผ่านทางอินสตาแกรมทำนองเหียยดเชื้อชาติชาวยิวว่า " กระโดดสูงเหมือนคนดำ และเก็บเหรียญเหมือนคนยิว " 

2. แลกเสื้อในช่วงพักครึ่งแรกกับ เปเป้

          นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ ซึงครั้งนี้เกิดขึ้นในเกมแชมป์เปี้ยนลีกที่ " หงส์แดง " เปิดบ้านพ่ายต่อเรอัล มาดริด 3-0 แม้ว่าเกมเพิ่งจะผ่านไปแค่ครึ่งแรกแต่บาโลเตลลี่ ก็ทำการแลกเสื้อกับ เปเป้ ไปก่อน จนเป็นเหตุให้สโมสรออกมาประกาศว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกจะทำการลงโทษกับดาวยิงชาวอิตาเลี่ยนอย่างหนัก

3. โชว์รวยจ่ายค่าเสียหาย 5,000 ปอนด์หลังขับรถชน

          เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2010 สมัยที่บาโลเตลลี่เป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขับได้ซิ่งรถออดี้คู่ใจ ก่อนที่จะประสบอุบัติเหตุชนกับรถคนอื่น และมีการเปิดเผยเขาจ่ายเงินค่าเสียหาย 5,000 ปอนด์ พอตำรวจเข้ามาถามว่าทำไมถึงต้องจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนี้ เกรียนโอ้ ก็สวนไปว่า " ก็ผมรวย "

4. โดยไนเจล เด ยอง กันไม่ให้ยิงจุดโทษ


               เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับนักเตะทีมเดียว กันและมันก็เกิดขึ้นกับแมตช์กระชับมิตรเท่านั้น โดยบาโลเตลลี่ พยายามที่จะเข้าไปทำหน้าที่สังหารจุดโทษในเกมกับแอลเอ กาแลกซี่ ก่อนที่ไนเจล เดอ ยอง จะเข้ามาขวางไม่ให้ยิง

5. เจ้าพ่อทรงผมขัดใจแม่

          ไม่ว่าเรื่องฟอร์มการเล่นจะเป็นอย่างไรแต่เรื่องทรงผมของพี่แกกินขาดจริงๆนับตั้งแต่เริ่มเล่นฟุตบอลอาชีพ บาโลเตลลี่ ก็เปลี่ยนทรงผมแทบจะทุกอาทิตย์ และแต่และทรงที่ตัดออกมานั้นก็เรียกส้นเท้าจากผู้คนที่พบเจอได้ดีจริง

6. คุมอารมณ์ไม่อยู่จนโดนใบแดงในเกมกับดินาโม เคียฟ

               เป็นอีกหนึ่งปัญหาของ โอ้ เกี่ยวกับเรื่องการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง หลังจากเขามีส่วนสำคัญที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตกรอบยูโรป้า ลีก หลังจากที่เขาฟิวขาดไปเล่นนอกเกมใส่โกรัน โปปอฟ ผู้เล่นของดินาโม เคียฟ จนเป็นเหตุให้ต้องโดนใบแดงไล่ออกจากสนาม และทำให้ทีมเล่นด้วยตัวผู้เล่นที่เป็นรองจนทีมจอดอยู่เพียงแค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย

7. โชว์ตอกส้นแบบกากๆจนถูกเปลี่ยนตัวออก

           สร้างความไม่พอใจให้กับโรแบร์โต้ มันชินี่ เป็นอย่างมากหลังจากในเกมกระชับมิตรกับแอลเอ กาแลกซี่ กองหน้าวัย 24 ปีหลุดกับดักล้ำหน้าไปดวลตัวต่อตัวกับผู้รักษาประตู แต่เขากลับโชว์ความเหนือชั้นด้วยการหมุนตัวตอกส้น ลูกออกหลังไปแบบไม่มีคำว่าได้ลุ้น ทำให้เอดิน เซโก้ ที่ยืนอยู่ใกล้ถึงกับเหวอไปเลยทีเดียว 

หลังจากนั้นเขาก็ถูกมันชินี่ เปลี่ยนตัวออกจากสนามทันที และยังไม่พอยังมามีปากเสียกันกุนซือข้างสนามอีกต่างหาก

8. เหยียบหัวสก็อตต์ ปาร์เกอร์

          เมื่อปี 2012 เกมระหว่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พบกับท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ บาโลเตลลี่เล่นนอกเกมอีกครั้งโดยคราวนี้ผู้โชคร้ายเป็นสก็อตต์ ปาร์เกอร์ หลังจากที่เขาล้มลงไปนอนกองกับพื้น ทำให้ดาวยิงทีมชาติอิตาลีย่ำเข้าไปที่บริเวณหัวเต็ม ซึ่งจากการกระทำในครั้งนี้ทำให้ เจ้าโอ้ โดนแบนไป 4 นัดด้วยกัน

9. โชว์ซิกแพคในศึกยูโร 2012

บาโลเตลลี่ กลายเป็นฮีโร่ของทัพ " อัซซูรี่ " หลังเหมายิงคนเดียว 2 ประตูช่วยให้ทีมเอาชนะเยอรมัน 2-1 และหลังจากที่เขาทำประตูที่ 2 ได้ก็บรรเลงถอดเสื้อพร้อมกับเบ่งกล้มโชว์ซิกแพค พร้อมกับยืนนิ่งๆเหมือนหุ่นยนต์

และหลังจากนั้นก็มีคนถามทำไมถึงไม่ดีใจเมื่อทำประตูได้เขาก็ตอบกลับไปว่า " ที่ผมไม่ดีใจหลังจากที่ผมสามารถทำประตูได้ ก็เพราะผมเพียงแค่ทำงานของผมทำเท่า "

" คุณเคยเห็นบุรุษไปรษณีย์ดีใจหลังจากที่เขาส่งจดหมายด้วยหรอห๊ะ "

10.WHY ALWAYS ME

           กลายเป็นโลโก้ประจำตัวบาโลเตลลี่ไปเลยทีเดียวกับคำว่า " WHY ALWAYS ME " หรือที่หมายถึงว่า " ทำไมต้องเป็นผม ? " 

อดีตกองหน้าอินเตอร์ มิลาน ช่วยให้ " เรือใบสีฟ้า " เอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ถึง 6-1 ซึ่งเขาสามารถทำประตูได้ด้วย แต่เขากลับไม่แสดงความดีใจอะไร ก่อนแค่จะลอกเสื้อขึ้นพร้อมกับข้อความข้างต้น

11. สวมเสื้อซ้อมไม่เป็น

มีปัญหาแม้กระทั้งกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ หลังมีการจับภาพในระหว่างซ้อมซึ่งบาโลเตลลี่ กลับสวมเสื้อซ้อมไม่เป็น เขาพยายามใส่ผิดใส่ถูกอยู่หลายครั้ง เดือดร้อนผู้ช่วยโค้ชต้องการจัดการแก้ปัญหาให้

และเมื่อเขาย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล ก็เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้ง และเหมือนเดินก็ต้องหาคนมาจัดการให้

12. จุดพลุในห้องน้ำจนไฟไหม้บ้าน

เกือบจะได้เข้าไปนอนในซังเตกับการกระทำครั้งนี้ของบาโลเตลลี่ หลังจากที่เขาจุดพลุ ดอกไม้ไฟเล่นในห้องน้ำ ก่อนที่สะเก็ดไฟจะกระเด็นไปโดนกับผ้าเช็คตัว จนเกิดไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จนทำสร้างความเสียหายในห้องน้ำของเขาไปไม่น้อย

โดยตามรายงานเปิดเผยว่ารถดับเพลิง 2 คันได้เร่งมีเพื่อช่วยกันดับไฟไม่ให้ลุกลามไปยังที่อื่น และต้องใช้เวลากว่าชั่วโมงถึงจะดับเพลิงลงได้ และมีการเปิดเผยว่าเขาต้องใช้เงินเป็นค่าซ้อมห้องน้ำในครั้งนี้มากถึง 400,000 ปอนด์เลยทีเดียว เป็นบทเรียนราคาแพงเลยก็ว่าได้

Read More

ABOUT ME :

Hi ! Welcome to Blogger " PremierDaily " is a Article Source Barclays Premier League
Designed ByBlogger Templates